ห้าง Target

Target จำกัดการชำระเงินด่วนเพียง 10 ชิ้น เพิ่มประสบการณ์ลูกค้า

Target จำกัดการชำระเงินด่วนเหลือ 10 ชิ้น กลยุทธ์ค้าปลีกที่เปลี่ยนเกมเพื่อประสบการณ์ลูกค้า

ในยุคที่ธุรกิจค้าปลีกแข่งขันกันสูงและพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การยกระดับประสบการณ์ลูกค้ากลายเป็นหัวใจของกลยุทธ์ธุรกิจ ล่าสุด ห้างทาร์เก็ต (Target) หนึ่งในเครือข่ายค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ได้ดำเนินการที่น่าสนใจด้วยการ จำกัดการใช้ช่อง Self-Checkout ให้กับลูกค้าที่มีสินค้าไม่เกิน 10 ชิ้น ซึ่งถูกเรียกว่า Express Self-Checkout และเริ่มใช้งานในเดือนมีนาคม 2024 ครอบคลุมเกือบ 2,000 สาขาทั่วประเทศ ที่ผ่านมา

การตัดสินใจครั้งนี้อาจดูเหมือนเป็นการลดทอนความสะดวก แต่กลับได้รับผลตอบรับในเชิงบวกอย่างคาดไม่ถึง ทั้งในด้านประสิทธิภาพของร้านค้าและความพึงพอใจของลูกค้า บทความนี้จะพาไปวิเคราะห์ว่าทำไมการ “ลดตัวเลือก” จึงกลายเป็นกลยุทธ์ที่ชนะใจลูกค้า และส่งผลต่อธุรกิจรวมถึงพนักงานอย่างไร

เหตุผลเบื้องหลังการจำกัด 10 ชิ้น

Target จึงแก้ปัญหานี้ด้วยการจำกัดการใช้ Self-Checkout สำหรับลูกค้าที่มีสินค้าไม่เกิน 10 ชิ้น โดยลูกค้าที่ซื้อของจำนวนมากจะถูกแนะนำให้ไปใช้ช่องที่มีพนักงานบริการแทน

ผลลัพธ์ในเบื้องต้นถือว่าน่าประทับใจ โดย เวลาการทำธุรกรรมเฉลี่ยในร้านลดลงเกือบ 8% และ คะแนนความพึงพอใจของลูกค้า (Net Promoter Score) เพิ่มขึ้น 5 คะแนนในเรื่องของการรอคิว และอีก 3 คะแนนในเรื่องการปฏิสัมพันธ์กับพนักงาน (TheStreet, 2024)

ก่อนหน้านี้ Self-Checkout ถูกมองว่าเป็นทางออกสำหรับลดต้นทุนและเพิ่มความสะดวกให้ลูกค้า แต่ก็สร้างปัญหา เช่น คิวที่ยาวขึ้นในช่วงเวลาพีค และการใช้ผิดวิธีจากลูกค้าที่ซื้อของจำนวนมาก

ผลกระทบต่อพนักงาน

หนึ่งในประเด็นที่ถูกจับตามองคือผลกระทบต่อแรงงานค้าปลีก บางฝ่ายกังวลว่า Self-Checkout จะลดความต้องการพนักงานลง แต่ข้อมูลจริงกลับพบว่าพนักงานไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

แม้ Self-Checkout จะลดภาระงานบางส่วน เช่น การคิดเงิน แต่ร้านค้าส่วนใหญ่ยังต้องมีพนักงานคอยดูแลเครื่อง ช่วยเหลือลูกค้า ป้องกันการขโมย และตรวจสอบใบเสร็จ (Positioningmag, 2024)

กรณีศึกษาจาก Uniqlo ซึ่งใช้ระบบ Self-Checkout แบบ RFID พบว่า แม้จะลดพนักงานพาร์ตไทม์ลง 30% แต่กลับเพิ่มพนักงานประจำขึ้น 5% เพื่อให้เน้นงานบริการลูกค้ามากขึ้นแทนการปฏิบัติงานหลังเคาน์เตอร์ (The Standard, 2023)

Target เองก็ใช้แนวทางเดียวกัน โดยเปลี่ยนบทบาทของพนักงานจากการทำงานเชิงปฏิบัติการไปสู่การให้บริการและช่วยเหลือลูกค้า ส่งผลให้ประสบการณ์ในร้านดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


ผลกระทบต่อประสบการณ์ลูกค้า

ลูกค้าใช้เครื่อง Self-Checkout ที่ร้านค้าปลีก

หนึ่งในจุดแข็งของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือการเข้าใจ “พฤติกรรมและความคาดหวังของลูกค้า” ที่เปลี่ยนไป ลูกค้าส่วนใหญ่มองหาความสะดวก รวดเร็ว และลดความยุ่งยาก

การจำกัด 10 ชิ้นทำให้ช่อง Self-Checkout มีการหมุนเวียนลูกค้าได้เร็วขึ้น ลดความแออัด และลดข้อผิดพลาดจากการสแกนสินค้าผิดหรือชำระเงินล่าช้า ผลสำรวจพบว่าลูกค้าพึงพอใจต่อการใช้ Self-Checkout มากขึ้น โดยเฉพาะในสาขาที่มีการจำกัดจำนวนสินค้าชัดเจน (TheStreet, 2024)

นอกจากนี้ยังช่วยลดความเครียดของลูกค้าที่ถือของจำนวนมากและต้องสแกนเองทีละชิ้น ซึ่งเดิมเคยเป็น Pain Point ของระบบ Self-Checkout ในหลายประเทศ

บทเรียนสำหรับวงการค้าปลีก

  1. การผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีกับการบริการจากมนุษย์สามารถสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ดีที่สุด
  2. ประสบการณ์ในร้านยังคงสำคัญ แม้การซื้อออนไลน์และ Curbside Pickup จะเติบโต
  3. การออกแบบระบบที่ชัดเจนลดความสับสนและเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า
  4. การสื่อสารนโยบายให้ชัดเจน เช่น จำกัดจำนวนสินค้า ช่วยลดข้อร้องเรียนและทำให้ลูกค้าปรับตัวได้ง่าย

กลยุทธ์ Self-Checkout แบบจำกัด 10 ชิ้นของ Target แสดงให้เห็นว่า การออกแบบประสบการณ์ลูกค้าที่ดีไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อนเสมอไป แต่ต้องเข้าใจปัญหาของลูกค้าและออกแบบให้ตอบโจทย์ Target ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมค้าปลีก เป็นกรณีศึกษาที่หลายบริษัทควรนำไปปรับใช้ (Target Corporate, 2025)

แหล่งข้อมูล