ในประเทศที่อำนาจการเมืองและธุรกิจแทบไม่เคยแยกออกจากกันอย่างกัมพูชา ชื่อหนึ่งที่กำลังถูกพูดถึงมากที่สุดในขณะนี้ไม่ใช่นักการเมือง แต่คือ “เฉินจื้อ” (Chen Zhi) หรือที่วงการธุรกิจรู้จักในชื่อ “วินเซนท์” ชายชาวจีนผู้สร้างอาณาจักรธุรกิจขนาดมหึมา Prince Holding Group ที่กำลังกลายเป็นทั้งเครื่องจักรเศรษฐกิจ และระเบิดเวลาทางการเมืองของพนมเปญ
จากร้านอินเทอร์เน็ตในเมืองฝูเจี้ยน สู่เจ้าสัวแห่งกัมพูชา
เฉินจื้อเกิดเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 1987 ที่มณฑลฝูเจี้ยน ประเทศจีน เติบโตในครอบครัวนักธุรกิจท้องถิ่น และเริ่มต้นเส้นทางการค้าเร็วผิดปกติ เขาเปิดร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 ปี
ปี 2011 เขาเดินทางเข้าสู่กัมพูชา และเริ่มลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ก่อนจะขยายอย่างรวดเร็วในยุคที่ประเทศเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ ภายในเวลาไม่ถึง 10 ปี เขาก่อตั้ง Prince Holding Group (2015) ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มทุนใหญ่ที่สุดในกัมพูชา มีธุรกิจตั้งแต่ อสังหาริมทรัพย์ ธนาคาร การเงิน การท่องเที่ยว ไปจนถึงเกษตรกรรม
และในปี 2014 เฉินจื้อได้รับ สัญชาติกัมพูชา อย่างเป็นทางการ พร้อมคำนำหน้า “Neak Oknha” ซึ่งเป็นเกียรติยศสูงสุดสำหรับนักธุรกิจผู้บริจาคเงินสนับสนุนรัฐบาล

Prince Group อาณาจักรเศรษฐกิจคู่ขนานของกัมพูชา
ภายใต้การนำของเฉินจื้อ Prince Group ได้กลายเป็น “รัฐในรัฐ” ที่แท้จริง โครงการอสังหาริมทรัพย์อย่าง Prince Central Plaza, Prince Huan Yu Center, Prince International Plaza ได้กลายเป็นแลนด์มาร์กใจกลางกรุงพนมเปญ ขณะที่ Prince Bank ซึ่งมี ฮอน โสรชนะ (Honn Sorachna) เป็นประธาน และ ลุย ก๊ก ซุน (Looi Kok Soon) เป็นซีอีโอ กลายเป็นธนาคารที่เติบโตเร็วที่สุดในประเทศ
เฉินจื้อ ยังได้ขยายอิทธิพลเข้าสู่ธุรกิจเกษตรกรรม ผ่าน Prince Agriculture เพื่อผลักดันเทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่ และโครงการ “ESG” ที่เขาอ้างว่าเป็นหัวใจของการพัฒนาที่ยั่งยืนของกลุ่ม

ภาพลักษณ์นักบุญ มหาเศรษฐีผู้ให้ทุนการศึกษา
ด้วยภาพลักษณ์ “ผู้สร้างชาติ” เฉินจื้อก่อตั้ง มูลนิธิ Prince Foundation และโครงการ Chen Zhi Scholarship เพื่อมอบทุนให้กับนักเรียนกัมพูชาหลายร้อยคนต่อปี ในสื่อภายในประเทศ เขามักถูกยกย่องว่าเป็น “นักธุรกิจผู้มีจิตกุศล” และ “ผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเขมรยุคใหม่”
แต่ในสายตานานาชาติ เฉินจื้อกลับเป็นบุคคลที่ถูก กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) ตั้งข้อหาว่าอยู่เบื้องหลังเครือข่ายฉ้อโกงคริปโตระดับโลก ที่มีมูลค่าความเสียหายกว่า 15,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 5 แสนล้านบาทและยืดบิตคอยน์มูลค่ามหาศาลซึ่งถูกเปิดโปงเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

เมื่ออาณาจักรแห่งทองเริ่มมี “รอยร้าว”
จากรายงานของ DOJ และ TRM Labs ระบุว่า Prince Group อาจเกี่ยวข้องกับ “ฟาร์มโทรศัพท์” (Phone Farm) และการหลอกลวงรูปแบบ Pig Butchering Scam หรือ “หลอกหมูขึ้นเขียง” ที่ใช้แรงงานบังคับและบัญชีโซเชียลปลอมกว่าหมื่นบัญชีในการล่อเหยื่อทั่วโลกให้ลงทุนคริปโตปลอม
ขณะที่ภายในกัมพูชาเอง เครือข่ายธุรกิจของเฉินจื้อยังโยงไปถึงกลุ่มการเมืองสายอำนาจเก่า โดยเฉพาะ ซาระ โสขา (Sar Sokha) รัฐมนตรีมหาดไทยคนปัจจุบัน และบุตรชายของ สมเด็จฮุนเซน
ความสัมพันธ์นี้เคยถูกมองว่าเป็น “สายใยทองคำ” ที่ทำให้ Prince Group เติบโตอย่างไร้ขีดจำกัด แต่ในตอนนี้ — มันกำลังกลายเป็น “ระเบิดเวลา” ที่อาจส่งแรงสั่นสะเทือนกลับถึงตระกูลฮุนได้เช่นกัน
DOJ และแรงสั่นสะเทือนต่อการเมืองพนมเปญ
หลังจากการยึดบิตคอยน์ครั้งประวัติศาสตร์ เฉินจื้อถูกตั้งข้อหา ฉ้อโกง ฟอกเงิน และค้ามนุษย์ แม้เขายังไม่ถูกจับกุม แต่การเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ กำลังเขย่าฐานเศรษฐกิจที่ผูกพันระหว่าง “ทุนจีน – อำนาจเขมร” อย่างไม่เคยมีมาก่อน
นักวิเคราะห์ในภูมิภาคมองว่า หาก Prince Group ถูกสั่นคลอนจริง เครือข่ายเศรษฐกิจของรัฐบาลฮุนมาแน่และฮุนเซน จะได้รับผลกระทบโดยตรง เพราะ Prince Group ไม่เพียงเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ แต่ยังเป็น “ตัวกลางการเงิน” ของระบบการเมืองกัมพูชายุคใหม่
จากเจ้าสัวแห่งความรุ่งเรือง สู่ผู้จุดชนวนการเปลี่ยนแปลง
เฉินจื้อกลายเป็นสัญลักษณ์ของยุคที่อำนาจเศรษฐกิจในกัมพูชาผูกพันกับอิทธิพลข้ามชาติ และการพึ่งพาทุนจีนอย่างเข้มข้น
หากเขาล้ม จะไม่ใช่แค่การล่มสลายของกลุ่มทุนหนึ่ง คำถามตอนนี้ไม่ใช่แค่ว่า เฉินจื้อจะรอดไหม แต่คือว่า
กัมพูชาจะยังยืนอยู่ได้อย่างไร หากอาณาจักรที่หนุนหลังอำนาจเริ่มร้าวจากภายใน!!!
ที่มาอ้างอิง:
Prince Holding Group, Prince Foundation, DOJ Reports, TRM Labs, CNBC, Wired, The Diplomat, Cambodia Investment Review, Macau Business, RFA, Chainalysis (2024–2025)

