วงการสปอร์ตแวร์โลกกำลังจับตามองข่าวลือครั้งใหญ่ที่อาจเปลี่ยนโฉมหน้าอุตสาหกรรมไปตลอดกาล เมื่อสำนักข่าว Bloomberg รายงานในเดือนกันยายน 2025 ว่า อาร์ทิมิส (Artemis) บริษัทโฮลดิ้งของตระกูล ปิโนลต์ (Pinault) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Puma กำลังพิจารณาทางเลือกเกี่ยวกับการถือครองหุ้น 29% ในบริษัท
หนึ่งในความเป็นไปได้ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือการขายหุ้นออกไป แม้จะยังไม่มีการยืนยันใด ๆ ว่า Adidas เป็นผู้เจรจา แต่ข่าวลือดังกล่าวก็จุดประกายการคาดเดาอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับการควบรวมระหว่างสองแบรนด์คู่แข่งที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน
การจับตามองครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางปัญหาที่ Puma กำลังเผชิญ ทั้งด้านการเงินและความเชื่อมั่นของนักลงทุน ราคาหุ้นที่ร่วงลงอย่างต่อเนื่องทำให้นักวิเคราะห์หลายรายมองว่าการควบรวมกิจการกับ Adidas อาจเป็นหนทางหนึ่งในการรักษาความแข็งแกร่งและสร้างโอกาสใหม่ให้กับ Puma
จากศึกพี่น้องสู่ดีลประวัติศาสตร์
แม้ยังไม่มีข้อสรุป แต่ตลาดก็ให้ความสนใจเป็นพิเศษเพราะหากเกิดขึ้นจริง นี่จะเป็นการพลิกประวัติศาสตร์ของทั้งสองแบรนด์ที่เคยแตกหักมาตั้งแต่ปี 1948
เรื่องราวความเป็นศัตรูของ Adidas และ Puma เริ่มต้นจากพี่น้องตระกูลดาสเลอร์ (Dassler) ที่เคยร่วมกันก่อตั้งบริษัทผลิตรองเท้ากีฬา ก่อนจะแยกทางกันหลังสงครามโลกครั้งที่สอง อดลอฟ ดาสเลอร์ (Adolf Dassler) สร้าง Adidas ขึ้น ขณะที่ รูดอล์ฟ ดาสเลอร์ (Rudolf Dassler) ก่อตั้ง Puma การแข่งขันของสองแบรนด์เดินหน้ามานานเกือบ 77 ปี หากดีลนี้เกิดขึ้นจริงก็จะเปรียบเสมือนการปิดฉากความขัดแย้งที่ยืดเยื้อระหว่างสองพี่น้องไปพร้อมกัน
ความเคลื่อนไหวของตลาดทุนสะท้อนความคาดหวังทันทีที่ข่าวลือปรากฏ ราคาหุ้น Puma พุ่งขึ้นกว่า 18% แสดงให้เห็นว่านักลงทุนมองบวกต่อความเป็นไปได้ของการปรับโครงสร้าง แม้ Adidas และ Puma ยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นอย่างเป็นทางการ แต่ความจริงที่ว่า CEO คนปัจจุบันของ Puma เป็นอดีตผู้บริหารของ Adidas ก็ยิ่งเพิ่มน้ำหนักให้กับกระแสข่าวว่าความร่วมมือเชิงกลยุทธ์อาจเกิดขึ้นในเบื้องหลัง
แรงสั่นสะเทือนในตลาดทุนและวงการกีฬา
หากการควบรวมเกิดขึ้นจริง ผลกระทบต่อวงการสปอร์ตแวร์โลกจะมีนัยสำคัญทันที การรวมตัวกันของ Adidas และ Puma จะทำให้บริษัทที่เกิดใหม่มีศักยภาพในการแข่งขันกับ Nike ได้ใกล้เคียงมากขึ้น มูลค่าธุรกิจรวมที่นักวิเคราะห์คาดการณ์อาจแตะระดับกว่า 32,500 ล้านยูโร ซึ่งจะทำให้ช่องว่างระหว่าง Adidas-Puma กับ Nike ที่มีมูลค่า 46,309 ล้านดอลลาร์แคบลงอย่างเห็นได้ชัด
ยิ่งไปกว่านั้น การรวมพอร์ตโฟลิโอผลิตภัณฑ์จะทำให้เกิดคอลเลกชันที่ทรงพลังที่สุดในตลาด ทั้งรองเท้าระดับตำนานของ Adidas อย่าง Gazelle และ Superstar จะมาบรรจบกับสินค้าดังของ Puma เช่น Suede และ Speedcat
ในโลกฟุตบอล การผนึกกำลังครั้งนี้อาจสร้างเครือข่ายสปอนเซอร์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ สโมสรชั้นนำอย่างแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด อาร์เซนอล และเรอัลมาดริดจากฝั่ง Adidas อาจมารวมอยู่ในเครือเดียวกับแมนเชสเตอร์ซิตี้ เอซี มิลาน และโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ที่อยู่กับ Puma ขณะเดียวกัน รองเท้าฟุตบอลระดับไอคอนอย่าง Predator, Copa, และ F50 จะได้อยู่ภายใต้ชายคาเดียวกับ Future, Ultra และ King ของ Puma
โอกาสและความท้าทายของผู้บริโภคและแบรนด์
กระนั้น ผลกระทบต่อผู้บริโภคก็อาจมีทั้งด้านบวกและลบ การควบรวมสามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้รวดเร็วขึ้นจากการรวมทรัพยากรวิจัยและพัฒนา อีกทั้งอาจลดต้นทุนการผลิตจนกดราคาสินค้าให้ถูกลง แต่ในอีกด้านหนึ่ง การลดจำนวนคู่แข่งอาจทำให้ตัวเลือกสินค้าหดลง และในบางกรณีราคาสินค้าอาจสูงขึ้นเนื่องจากการแข่งขันในตลาดลดลง ผู้บริโภคจึงต้องจับตาอย่างใกล้ชิดในช่วงการเปลี่ยนผ่านว่ามาตรฐานคุณภาพและความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์จะเป็นอย่างไร
ความท้าทายใหญ่ที่สุดหากการควบรวมเกิดขึ้นจริงคือการรักษาเอกลักษณ์ของแต่ละแบรนด์ Adidas และ Puma ต่างมีฐานลูกค้าที่ภักดีและวัฒนธรรมแบรนด์เฉพาะตัว การหลอมรวมสองแบรนด์ให้อยู่ร่วมกันโดยไม่กัดกินส่วนแบ่งตลาดของกันและกันจะเป็นโจทย์บริหารที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อน ขณะที่การจัดการภาพลักษณ์ในระดับโลกและการสื่อสารกับผู้บริโภคจะเป็นกุญแจสำคัญในการทำให้ดีลนี้ประสบความสำเร็จ
ในท้ายที่สุด ข่าวลือเรื่องการควบรวม Adidas และ Puma ยังเป็นเพียงการคาดการณ์ที่ไม่ได้รับการยืนยัน แต่เพียงแค่การพูดถึงก็เพียงพอที่จะสร้างแรงกระเพื่อมทั้งในตลาดหุ้นและในวงการกีฬาโลก ความเป็นไปได้ที่สองแบรนด์คู่แข่งตลอดกาลจะกลายมาเป็นพันธมิตรในที่สุดทำให้สังคมธุรกิจและผู้บริโภคต่างเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อว่าเรื่องราวครั้งนี้จะจบลงอย่างไร
แหล่งที่มา: