กระเป๋า Louis Vuitton และ Dior พร้อมโลโก้แบรนด์ สื่อถึงสินค้าหรูที่อาจได้รับผลกระทบจากภาษีโลกในปี 2025

การขึ้นราคาไม่ใช่กลยุทธ์หลักแต่หลีกเลี่ยงยาก


ลูกค้า Louis Vuitton – Dior อาจร้องจ๊าก LVMH ส่งสัญญาณขึ้นราคาสินค้าหรูทั่วโลก

ในโลกที่ความหรูหรากำลังถูกตั้งคำถามด้วยอัตราภาษีที่พุ่งสูงขึ้นทั่วโลก ผู้บริโภคของแบรนด์ดังอย่าง หลุยส์ วิตตอง (Louis Vuitton) และ ดิออร์ (Dior) อาจต้องเผชิญกับการปรับขึ้นราคาครั้งใหม่เร็ว ๆ นี้ เมื่อบริษัทแม่ LVMH (Louis Vuitton Moët Hennessy) ส่งสัญญาณชัดเจนถึงการทบทวนกลยุทธ์ด้านราคาท่ามกลางแรงกดดันด้านต้นทุนและเศรษฐกิจ

รายได้สะดุดตลาดหลักหดตัว 

LVMH รายงานรายได้ไตรมาสแรกปี 2025 ลดลง 2% เหลือ 20.3 พันล้านยูโร (ประมาณ 23 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยกลุ่มแฟชั่นและเครื่องหนังซึ่งมีสัดส่วนรายได้มากที่สุด ลดลง 4% เหลือ 10.1 พันล้านยูโร จากเดิม 10.49 พันล้านยูโร

ในเชิงภูมิภาค สหรัฐอเมริกามียอดขายลดลงชัดเจนจากการบริโภคที่ชะลอตัว ขณะที่เอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) ยังอยู่ภายใต้แรงกดดันจากเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัวช้า ส่วนญี่ปุ่นเองก็ปรับลดเล็กน้อยตามค่าเงินเยนที่อ่อนตัว สวนทางกับยุโรปที่ยังเติบโตได้ 2% โดยได้รับแรงหนุนจากนักท่องเที่ยวต่างชาติและการบริโภคในประเทศที่ยังคงแข็งแกร่ง

จุดเปลี่ยนของกลุ่มแฟชั่นแบรนด์หรู

ผลประกอบการที่ลดลงอย่างต่อเนื่องสะท้อนภาพการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคในหลายภูมิภาค โดยเฉพาะกลุ่มชนชั้นกลางระดับสูงที่เคยเป็นลูกค้าหลักของแบรนด์หรู แต่ปัจจุบันต้องชะลอการใช้จ่ายท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยสูง และราคาพลังงานที่กดดันกำลังซื้อ

นอกจากนี้ ปัจจัยภายนอกอย่างภาษีศุลกากรและการเมืองระหว่างประเทศก็เป็นอีกแรงผลักสำคัญที่ทำให้ต้นทุนของสินค้าแฟชั่นนำเข้าพุ่งสูงขึ้น ซึ่งผู้บริโภคในตลาดหลัก เช่น สหรัฐฯ และจีน เริ่มหันไปสู่แบรนด์ท้องถิ่นหรือสินค้าแฟชั่นระดับกลางที่ราคาย่อมเยากว่า

การขึ้นราคาไม่ใช่กลยุทธ์หลักแต่หลีกเลี่ยงยาก

CFO ของ LVMH อย่าง Cécile Cabanis ยืนยันว่า การขึ้นราคา “ไม่ใช่กลยุทธ์หลัก” แต่บริษัทจะพิจารณาอย่างใกล้ชิดตามภาวะเศรษฐกิจและนโยบายภาษี หากต้นทุนยังคงเพิ่มขึ้น ผู้บริโภคอาจต้องแบกรับภาระราคาสินค้าที่สูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ที่น่าสนใจคือ การขึ้นราคาจะไม่เท่ากันทุกแบรนด์ โดย Louis Vuitton และ Dior ซึ่งอยู่ในกลุ่มแบรนด์แฟชั่นและเครื่องหนัง อาจเป็นกลุ่มแรกที่ต้องปรับราคาตามต้นทุนจริง ขณะที่แบรนด์ในกลุ่มน้ำหอม หรือสินค้าระดับพรีเมียมระดับกลางอาจได้รับผลกระทบน้อยกว่า

ขยายฐานผลิตในสหรัฐฯสู้ภาษี

แม้แบรนด์หรูจะมีภาพลักษณ์ที่แข็งแรง แต่การขึ้นราคาซ้ำซ้อนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาอาจเริ่มส่งผลต่อความภักดีของผู้บริโภค ในบางตลาด เช่น จีน ลูกค้าบางกลุ่มเริ่มตั้งคำถามกับ “มูลค่าที่แท้จริง” ของสินค้าแบรนด์เนม เมื่อราคาสูงขึ้นแต่ประสบการณ์หรือบริการกลับไม่เปลี่ยนแปลงตาม

เพื่อรับมือกับภาษีที่สูงขึ้น LVMH กำลังพิจารณาขยายกำลังการผลิตในสหรัฐอเมริกา แม้ยังไม่มีไทม์ไลน์ที่ชัดเจน แต่ถือเป็นสัญญาณสำคัญว่าบริษัทอาจมองเห็นการเปลี่ยนแปลงระยะยาวในโครงสร้างตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากรัฐบาลสหรัฐฯ เดินหน้าขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากยุโรปและเอเชียอย่างต่อเนื่อง

โรงงานผลิตภายในประเทศจะช่วยลดต้นทุนขนส่ง ลดแรงกดดันด้านอัตราแลกเปลี่ยน และอาจทำให้แบรนด์หรูสามารถคงราคาสินค้าให้อยู่ในระดับที่ผู้บริโภคยังยอมรับได้

Louis Vuitton แบรนด์ที่ยังยืนหนึ่ง

Louis Vuitton ยังคงเป็นแบรนด์แฟชั่นที่มีมูลค่าสูงที่สุดในเครือ LVMH และครองอันดับหนึ่งในตลาดโลกอย่างเหนียวแน่น โดยในปี 2025 แบรนด์สามารถรักษาการเติบโตแบบ Double-digit ในหลายภูมิภาค เช่น ยุโรป ตะวันออกกลาง และอเมริกาใต้

สิ่งที่ทำให้ Louis Vuitton ยังคงเติบโต คือการผสานความหรูหราแบบคลาสสิกเข้ากับความยั่งยืน เช่น การเลือกใช้วัสดุรีไซเคิล หนังจากแหล่งที่ยั่งยืน และการร่วมมือกับศิลปินระดับโลกในการออกแบบคอลเลกชันใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง

Dior การเติบโตที่มีชั้นเชิง

Dior เผชิญกับยอดขายที่ลดลงเล็กน้อยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2025 โดยรายได้จากกลุ่มแฟชั่นและเครื่องหนังลดลง 4% จาก 10.49 พันล้านยูโร เหลือ 10.1 พันล้านยูโร อย่างไรก็ตาม แบรนด์ยังคงแสดงความยืดหยุ่นได้ดี โดยเฉพาะการเติบโตในตลาดญี่ปุ่น ซึ่งมีความภักดีต่อแบรนด์สูง และการขยายเครือข่ายร้านค้าปลีกในสหรัฐฯ ที่เริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรม

Dior ยังมุ่งลงทุนในด้านนวัตกรรม เช่น การใช้เทคโนโลยี VR/AR ในร้านค้าสำหรับการนำเสนอสินค้า รวมถึงการพัฒนา “ประสบการณ์ลูกค้า” ให้เป็นแบบ Personalization ซึ่งทำให้ลูกค้ามีความผูกพันกับแบรนด์มากขึ้น

ความยั่งยืนกลไกใหม่ที่เสริมพลังแบรนด์หรู

ทั้ง Louis Vuitton และ Dior กำลังให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างยั่งยืนทางด้าน Environmental, Social, Governance (ESG) หรือสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) มากยิ่งขึ้น ในยุคที่ผู้บริโภคมองหาแบรนด์ที่มีจุดยืนต่อโลกและสังคม แบรนด์หรูจึงไม่อาจยืนอยู่บนภาพลักษณ์เก่าเพียงอย่างเดียว

LVMH ได้ลงทุนในโครงการ “Life 360” ซึ่งครอบคลุมการปล่อยคาร์บอน การลดของเสีย การรีไซเคิล และการใช้พลังงานสะอาดในกระบวนการผลิต โดยคาดว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 30% ภายในปี 2030

โอกาสและความเสี่ยงในครึ่งปีหลัง

การปรับราคาจะยังเป็นประเด็นหลักในครึ่งหลังของปี 2025 โดยนักวิเคราะห์คาดว่าแบรนด์เรือธงอย่าง Louis Vuitton อาจขึ้นราคาสินค้าบางรุ่นราว 5–8% ภายในไตรมาส 3 หากแรงกดดันด้านต้นทุนไม่ลดลง

ในทางกลับกัน ถ้าจีนสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศได้ดีขึ้น และสหรัฐฯ ชะลอการขึ้นภาษี กลุ่มแฟชั่นอาจกลับมาโตในระดับ 1–3% ภายในสิ้นปี

การเปลี่ยนแปลงภายนอก ทั้งภาษี การเมืองระหว่างประเทศ และเศรษฐกิจโลก กำลังกระตุ้นให้แบรนด์หรูอย่าง Louis Vuitton และ Dior ต้องทบทวนกลยุทธ์ราคาเพื่อความอยู่รอดในระยะยาว

แม้ LVMH ยังไม่ได้ประกาศปรับราคาทันที แต่สัญญาณจากรายได้และโครงสร้างภาษีทำให้ผู้บริโภคควรเตรียมใจ 

ถ้าคุณเล็งกระเป๋า LV หรือรองเท้า Dior คู่นั้นอยู่อาจต้องรีบก่อนราคาจะพุ่งสูงขึ้น

แหล่งอ้างอิง

https://www.lse.co.uk/news/lvmh-beats-forecast-with-1-rise-in-fourth-quarter-sales-6msvcgfn2qzbqyc.html

https://observer.com/2025/04/luxury-lvmh-and-hermes-tariff-pains/

https://fashionunited.uk/news/business/christian-dior-quarterly-revenue-down-amid-disrupted-geopolitical-environment/2025041581090

https://fashionunited.uk/news/business/christian-dior-quarterly-revenue-down-amid-disrupted-geopolitical-environment/2025041581090

https://www.thestreet.com/retail/louis-vuitton-dior-customers-get-bad-news