มูลค่าการส่งออกยางจากไทยไปยังสหรัฐฯ ในปี 2024

ศึกภาษียางสหรัฐฯ แต่ไทยโดนลูกหลงเต็มแรง

เจาะลึกผลกระทบภาษีทรัมป์ 5 แบรนด์ยางยักษ์รับแรงสะเทือนแต่ไทยอาการสาหัสมากที่สุด 

เมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าชิ้นส่วนยานยนต์และยางรถยนต์จากต่างประเทศ 25% ในปี 2025   ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยางทั่วโลกจึงรุนแรงเป็นพิเศษ โดยเฉพาะแบรนด์ยางชั้นนำที่พึ่งพาการผลิตจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมถึงประเทศไทยที่ถือเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกยางรายใหญ่ที่สุดของโลก

 ไทยเป็นผู้ผลิตยางและยางรถยนต์อันดับต้น ๆ ของโลก โดยเฉพาะสำหรับตลาดสหรัฐฯ ยางที่ส่งออกจากไทยเป็นตัวเลือกต้นทุนต่ำของแบรนด์ยางญี่ปุ่นหลายเจ้าภาษีศุลกากรครั้งนี้ส่งผลกระทบตรงต่อไทย ทั้งในแง่ยอดส่งออก อุตสาหกรรม และการจ้างงาน  สถานการณ์นี้ตอกย้ำว่า แม้แบรนด์จะเป็นของญี่ปุ่นหรือยุโรป แต่สายการผลิตที่พึ่งพาประเทศไทย ย่อมทำให้ไทยเป็นผู้แบกรับภาษีทางอ้อมอย่างเต็มรูปแบบ

ตามรายงานของ JPMorgan ระบุว่า 63.4% ของยางที่ขายในสหรัฐอเมริกาในปี 2024 เป็นยางนำเข้า คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 18,700 ล้านดอลลาร์ ทำให้ยางเป็นสินค้านำเข้าอันดับที่ 28 ของประเทศ และแม้ว่าแคนาดาและเม็กซิโก ซึ่งเป็น 2 พันธมิตรทางการค้ารายใหญ่ที่สุดของประเทศและเป็นผู้ลงนามในข้อตกลงการค้าเสรี USMCA จะมีบทบาทสำคัญ

แต่ตัวเลขของ สมาคมผู้ผลิตยางแห่งสหรัฐฯ ระบุว่า ในปี 2024 เพียงปีเดียวประเทศไทย, เวียดนาม และญี่ปุ่นคิดเป็นมูลค่าการส่งออกยางไปยังสหรัฐฯรวมกัน 6,450 ล้านดอลลาร์ ตัวเลขนี้ไม่รวมการส่งออกยางธรรมชาติ ซึ่งเป็นความแตกต่างที่สำคัญ เนื่องจากมากกว่า 90% ของอุปทานยางธรรมชาติของประเทศมาจากภูมิภาคนี้

แม้รัฐบาลสหรัฐฯ จะออกมาตรการผ่อนปรนภาษีศุลกากรใหม่ โดยเฉพาะการยกเว้นชิ้นส่วนรถยนต์ตามข้อตกลง USMCA กับเม็กซิโกและแคนาดา รวมถึงคำสั่งฝ่ายบริหารล่าสุดเมื่อปลายเมษายน 2025 ที่ให้เวลาผู้ผลิตปรับตัวเพิ่มเติม แต่ผู้เชี่ยวชาญยังคงกังวลต่อเสถียรภาพของอุตสาหกรรมยางและยานยนต์ในระยะยาว

หลายฝ่ายเตือนว่า มาตรการใหม่ยังไม่เพียงพอในการปกป้องผู้ผลิตภายในประเทศจากต้นทุนชิ้นส่วนที่สูงขึ้น โดยเฉพาะผลกระทบจากภาษีศุลกากรที่อาจส่งผ่านไปยังผู้บริโภคโดยตรง โดย S&P Global คาดการณ์ว่า ราคารถยนต์ในสหรัฐฯ อาจเพิ่มขึ้น 5–10% ภายในปี 2025 ขณะที่ศูนย์วิจัยยานยนต์ ประเมินว่า ภาษีใหม่นี้อาจทำให้ผู้ผลิตสหรัฐฯ สูญเสียรายได้รวมสูงถึง 107.7 พันล้านดอลลาร์

เผย 5 แบรนด์ยางรถยนต์ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด

 1.  ซูมิโตโม จาากประเทศญี่ปุ่น

ผู้ผลิตยางอันดับ 5 ของโลก และเป็นซัพพลายเออร์ให้ค่ายรถยนต์โตโยตา  บริษัทซูมิโตโมยังเป็นเจ้าของ แบรนด์ Falken Tires และ Dunlop ซึ่งซื้อจาก Goodyear ในเดือนมกราคม 2025 ด้วยมูลค่าสูงถึง 701 ล้านดอลลาร์

กำลังผลิตยางจากค่ายนี้มากกว่า 124 ล้านเส้นต่อปี จากโรงงานผลิต 12 แห่งที่ตั้งอยู่ในญี่ปุ่น จีน ไทย อินโดนีเซีย บราซิล ตุรกี และแอฟริกาใต้  ในช่วงที่ผ่านมาทางซูมิโตโมได้ปิดโรงงานในสหรัฐฯ แล้วหันกลับมาพึ่งพาการผลิตจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากไทย

ผู้ผลิตยางรถยนต์เผยว่า ราคายางที่จำหน่ายในสหรัฐฯ จะปรับเพิ่มสูงสุดถึง 25% เริ่มตั้งแต่ พฤษภาคม 2025 เป็นต้นไป สาเหตุหลักมาจากภาษีนำเข้าชิ้นส่วนยานยนต์ภายใต้นโยบายของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซูมิโตโมจะเป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้รับผลกระทบ นำเข้ายางจากไทย เพื่อจำหน่ายในตลาดอเมริกา โดยแม้จะเผชิญต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แต่บริษัทกลับยังเห็นการเติบโตในตลาดอเมริกาเหนือต่อเนื่อง ยอดขายล่าสุดเพิ่มขึ้นเกือบ 10% แตะ 1.64 พันล้านดอลลาร์

 2. บริดจสโตน จากประเทศญี่ปุ่น

เป็นหนึ่งในแบรนด์ยางรายใหญ่ที่อาจได้รับผลกระทบมากที่สุดจากนโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ โดยตลาดอเมริกาเหนือซึ่งคิดเป็นถึง 40% ของรายได้ประจำปี ยังคงต้องพึ่งพาการนำเข้ายางจากประเทศไทยเป็นหลัก แม้บริษัทจะมีฐานการผลิตในสหรัฐฯ ก็ตาม

หลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีในปี 2024 ราคาหุ้นของบริดจสโตนร่วงลงทันที 4% ขณะที่ราคายางดิบและวัตถุดิบอื่นๆ อย่างเหล็ก เริ่มขยับขึ้นในปี 2025 สะท้อนแรงกดดันต้นทุนอย่างชัดเจน

บริษัทเพิ่งปิดโรงงานแห่งหนึ่งในรัฐเทนเนสซี เพื่อรวมศูนย์การผลิตใน 16 โรงงานทั่วอเมริกา ซึ่งยังถือว่าเป็นสัดส่วนเล็กเมื่อเทียบกับ โรงงานยาง 72 แห่งทั่วโลก และแม้มีความพยายามหันกลับมาผลิตในประเทศ แต่ภาษีศุลกากรของแคนาดาและเม็กซิโกยังคงเป็นอุปสรรคต่อการลดต้นทุนในห่วงโซ่อุปทาน

นอกจากนี้ยังต้องแบกรับภาษีต่อต้านการทุ่มตลาดสูงถึง 48.39% ที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ประกาศใช้ตั้งแต่ตุลาคม 2024 เพื่อตอบโต้ราคายางนำเข้าที่ถูกกดต่ำ โดยเฉพาะยางจากไทยซึ่งมีราคานำเข้าเฉลี่ยเพียง 38 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเส้น ต่ำกว่าราคานำเข้าจากฝรั่งเศสราว 5 เท่า

ขณะที่ภาษีชิ้นส่วนยานยนต์ฉบับใหม่ยังอยู่ในช่วงปรับใช้ นักวิเคราะห์เตือนว่า หากรัฐบาลเลือกเก็บ “อัตราที่สูงกว่า” ระหว่างภาษีศุลกากรทั่วไปกับภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด อาจยิ่งซ้ำเติมผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง บริดสโตน ในตลาดที่ต้นทุนพุ่งและการแข่งขันรุนแรง

3. โยโกฮาม่า 

ผู้ผลิตยางอันดับ 8 ของโลกจากญี่ปุ่น ประกาศขึ้นราคายางรถยนต์ 10% เริ่มเดือนพฤษภาคม 2025 หลังต้นทุนวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดย Stan Changdie ประธานฝ่ายปฏิบัติการ ชี้ว่าต้นทุนที่พุ่งสูง ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

โยโกฮาม่าจัดจำหน่ายยางหลัก 3 รุ่น ได้แก่ Avid, ADVAN และ GEOLANDAR ให้กับผู้ผลิตรถยนต์ระดับโลก อาทิ Porsche, Audi, BMW, Honda, Toyota ฯลฯ ขณะเดียวกัน บริษัทในเครืออย่าง Yokohama TWS ก็ผลิตยาง Mitas และ Trelleborg สำหรับรถใช้งานเฉพาะทาง เช่น รถเกษตรและก่อสร้าง

แม้ในปี 2024 บริษัทจะทำยอดขายได้สูงถึง 6.22 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่แรงกดดันจากภาษีศุลกากรและต้นทุนที่สูงขึ้นยังส่งผลต่อกำไรสุทธิอย่างชัดเจน

ตลอดทศวรรษที่ผ่านมาได้ขยายฐานการผลิตในอเมริกาเหนืออย่างต่อเนื่อง ทั้งโรงงานผลิตยางใน เวอร์จิเนีย, มิสซิสซิปปี้, ไอโอวา และเซาท์แคโรไลนา รวมถึงการลงทุนครั้งใหญ่ล่าสุด มูลค่า 380 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในโรงงานแห่งใหม่ที่ เมืองซัลตีโย ประเทศเม็กซิโก คาดว่าจะเพิ่มกำลังการผลิต อีก 5 ล้านเส้นต่อปีภายในปี 2027

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีฐานผลิตในภูมิภาค แต่โยโกฮาม่ายังต้องเผชิญกับแรงกดดันด้านราคา จากภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดและต้นทุนในห่วงโซ่อุปทานที่สูงขึ้น ทำให้การปรับราคาจำเป็นเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ

4. คอนติเนนทัล 

Continental AG ผู้ผลิตยางรถยนต์รายใหญ่จากเยอรมนี ออกมายอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า ไม่สามารถแบกรับภาษีศุลกากรเพิ่มเติมได้ และต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ จะถูกผลักไปยัง ผู้บริโภค โดยตรง Olaf Schick ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน ของบริษัท กล่าวว่า “เราชัดเจนกับลูกค้า – ภาษีใหม่ เราแบกรับไม่ไหว และกำลังแจ้งให้ทุกคนทราบ”

ตลาดสหรัฐฯ คิดเป็น 20% ของยอดขายรวมในปี 2024 แม้ คอนติเนนทัล จะมีโรงงานผลิตในสหรัฐฯ ถึง 3 แห่ง และลงทุนมากกว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ ตั้งแต่ปี 2010 แต่ความต้องการหลักยังพึ่งพา โรงงาน 22 แห่งในเม็กซิโก

ปัญหาคือ กฎระเบียบใหม่ภายใต้ข้อตกลง USMCA (สหรัฐฯ-เม็กซิโก-แคนาดา) ระบุว่า หากต้องการได้รับการยกเว้นภาษี 25% สินค้าจะต้องมี เนื้อหามูลค่าภูมิภาค (regional value content) ไม่น้อยกว่า 70% ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ ยากมาก สำหรับอุตสาหกรรมยางที่ต้องพึ่งพาวัตถุดิบจากเอเชีย

กระบวนการผลิตของบริษัทยังมีความซับซ้อนสูง — ยาง 1 เส้นใช้ชิ้นส่วนถึง 25 ชิ้น จากยาง 12 ชนิด, สิ่งทอหลากประเภท และเหล็กกล้าคุณภาพสูง โดยวัตถุดิบจำนวนมากนำเข้าจากประเทศอย่าง จีน อินเดีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม ทำให้ยางที่ผลิตในอเมริกาเหนือยัง ไม่ผ่านเกณฑ์ยกเว้นภาษี ได้โดยอัตโนมัติ

ผลกระทบจากภาษีศุลกากร จึงไม่เพียงแต่ เพิ่มต้นทุนสินค้า แต่ยังสร้างความท้าทายด้านโลจิสติกส์และห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะในกลุ่มที่ต้องพึ่งพาการประกอบในเม็กซิโก

5.กู๊ดเยียร์  

Goodyear จากสหรัฐ แม้จะเป็นหนึ่งในบริษัทที่ดูเหมือนจะได้ประโยชน์จากภาษีศุลกากรใหม่ แต่กลับเผชิญต้นทุนพุ่งและประกาศขึ้นราคายางในปี 2025 สะท้อนว่าแรงกระแทกจากนโยบายภาษีไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นเท่าที่คาด

หลังจากสหรัฐฯ ประกาศนโยบายภาษีศุลกากร หุ้นของ Goodyear เพิ่มขึ้น 12% จากความคาดหวังว่ายอดขายยางทดแทนจะพุ่ง เนื่องจากผู้บริโภคจะหลีกเลี่ยงแบรนด์ที่ได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้า แต่ผลกระทบจริงกลับซับซ้อนกว่านั้น

แม้จะเป็นผู้ผลิตยางรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ แต่ 19 จาก 53 โรงงานทั่วโลกของบริษัทอยู่ต่างประเทศ รวมถึงแคนาดาและเม็กซิโก ซึ่งมีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทาน นอกจากนี้ บริษัทยังพึ่งพาวัตถุดิบจากประเทศในเอเชีย เช่น ไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม อินเดีย และจีน ซึ่งต่างก็ถูกเก็บภาษีในรอบใหม่เช่นกัน

Goodyear คาดว่าต้นทุนวัตถุดิบจะเพิ่มขึ้นสูงถึง 350 ล้านดอลลาร์ ภายในครึ่งปีแรกของปี 2025 เพียงปีเดียว ส่งผลให้บริษัทประกาศขึ้นราคาสินค้าในเดือนเมษายน โดยปรับขึ้น 4% ในสหรัฐฯ และ 6% ในแคนาดา

แม้จะดูเป็นผู้ชนะระยะสั้นในตลาดหุ้น แต่ Goodyear ก็หลีกเลี่ยงผลกระทบจากห่วงโซ่ต้นทุนโลกได้ยากเช่นกันในระยะยาว

https://www.slashgear.com/1852265/tire-brands-most-expensive-trump-america-tariffs